ตุลาคม 2, 2568 | กิจกรรม ส.ป.ก.
ส.ป.ก. รับมอบนโยบายการบริหารราชการ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและมอบนโยบายการบริหารราชการแก่ข้าราชการและผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมในพิธี ทั้งนี้ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวต้อนรับ และนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) ได้นำเสนอภาพรวมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในการนี้ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) พร้อมด้วย นายสุรชัย ยุทธชนะ นายวัฒนา มังธิสาร นายปรีชา ลิ้มถวิล รองเลขาธิการ ส.ป.ก. ร่วมรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุมธารทิพย์ 01 ชั้น 4 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ
การมอบนโยบายดังกล่าวจัดขึ้นเป็นไปตามแนวทางและนโยบายของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายภาคเกษตรที่สำคัญ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจาก ปริมาณ ไปสู่การสร้าง มูลค่า อาทิ การบริหารจัดการและรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การยกระดับสู่ เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) และส่งเสริมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (เช่น Food for the Future และ Bio-industry) การจัดการทรัพยากรน้ำและรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (PM2.5) และการขยายโอกาสทางการตลาดด้วยการจัดตั้งทีมไทยแลนด์
ร้อยเอก ธรรมนัส ได้เน้นย้ำถึงหลักการทำงานสำคัญ คือ การยึดมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งเน้นการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน พร้อมกำหนดเป้าหมายหลัก คือ การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ด้านการเกษตรและวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agricultural and Food Hub) การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนใน 2 มิติสำคัญ คือ ด้านการผลิต และด้านการตลาด โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การขับเคลื่อนด้านการผลิต (Supply-side) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ (Engine) และเป็นหัวใจของภาคการผลิต โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อการเพิ่มรายได้ โดยกำหนดกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลักออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่ผลิตได้เกินกว่าความต้องการของตลาด (ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โคเนื้อ ไก่เนื้อ และกุ้ง) และกลุ่มสินค้าที่ยังผลิตได้น้อยกว่าความต้องการ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กาแฟ ทุเรียน และถั่วเหลือง) ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดจะได้รับการบริหารจัดการที่หลากหลายและแตกต่างกันตามมิติของผลิตภัณฑ์
2. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและบุคลากรภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดำเนินการสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็น (อาทิ พันธุ์ ดิน ปุ๋ย) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ ตลอดจนสนับสนุนการผลิตแบบมีเงื่อนไข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรรม
สำหรับภารกิจสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อจากนี้ไป คือความมุ่งมั่นที่จะดูแลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข มีรายได้ที่มั่นคง เพื่อเสริมสร้างให้ภาคเกษตรไทยแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมหรือเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ จึงได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานโดยการสานต่อนโยบายเดิมที่เคยได้เดินหน้าไว้ต่อเนื่องและมุ่งเน้น รวม 6 ด้านสำคัญ ดังนี้
1. เร่งรัดการจัดที่ดินทำกินและสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ มุ่งเน้นการจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พร้อมเร่งรัดการยกระดับเอกสารสิทธิ์ให้เป็น โฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ที่ดิน ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน เช่น ระบบชลประทาน ถนน และไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการลงทุนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. บริหารจัดการน้ำทั้งระบบเชิงรุก เน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกันจัดทำ แผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เน้นการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการป้องกันน้ำท่วม การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการเติมน้ำในเขื่อน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูการผลิต
พร้อมเน้นย้ำให้รายงานอุปสรรคด้านกฎหมายหรือข้อจำกัดในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและผลักดันให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม
3. ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมส่งเสริมการสร้าง ตราสินค้า (Brand) และ เรื่องราว (Story) ในระดับจังหวัดและอำเภอ
เพื่อสร้างเอกลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมเสริม (เช่น การแปรรูปสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่หลากหลาย และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ทางเดียว
4. เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง สนับสนุนการเป็น ผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร ของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร พร้อมจัดหา สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรและอุปกรณ์ที่จำเป็น และมอบหมายให้เกษตรจังหวัดทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และขึ้นทะเบียนเครื่องจักรกลเพื่อให้บริการในพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาสหกรณ์การเกษตร โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและต่อยอดธุรกิจ รวมถึงกำหนดระบบการประเมินผลและตรวจสอบการดำเนินงานของสหกรณ์ เพื่อสร้างความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นต่อสมาชิกและสังคม
5. จัดการทรัพยากรทางการเกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Go Green) ส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) ตามแนวทาง BCG / Carbon Credit เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการเผาซังข้าว/ตอซัง และลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเกินความจำเป็น พร้อมผลักดันการใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อผลิต พลังงานทดแทน ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมตาม Agri-Map และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมถึงการจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและรับมือภัยแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติอื่น ๆ ให้สามารถดำเนินการได้ทันท่วงที และเร่งสร้าง อาชีพทดแทน ให้แก่เกษตรกรในช่วงเกิดภัยพิบัติ
6. ปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด ดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในการ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อระบบการผลิตและเสถียรภาพราคาสินค้าในประเทศ พร้อมตรวจสอบและติดตาม สต็อกสินค้าเกษตร ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรในช่วงก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย
“ผมพร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 2 ท่าน รวมถึงผู้บริหาร ทีมข้าราชการ และบุคลากร พี่น้องครอบครัวกระทรวงเกษตรฯ ทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจ จะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายอย่างไม่ย่อท้อ เราจะไม่ทิ้งเกษตรกรไว้ข้างหลัง และจะใช้ทุกศักยภาพที่มีเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคเกษตรกรรมไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหาร ของโลกอย่างแท้จริง ด้วยระยะเวลาอันสั้นจะเน้นขับเคลื่อนด้วยนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้พี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อาทิ ได้มอบหมายการยางแห่งประเทศไทย เตรียมมาตรการขยายตลาดไปยังต่างประเทศและสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ตั้งเป้าราคายางพาราต้องขยับสูงขึ้นตามลำดับ รวมถึงราคาผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ไปจนถึงการปรับโฉมหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชที่จะออกปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อนอย่างเข้มข้น การแก้ปัญหานมล้นตลาดด้วยการบริหารจัดการน้ำนมทั้งระบบ การผลักดันองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ให้เป็นตลาดและศูนย์กระจายสินค้าเพื่อเกษตรกรอย่างแท้จริง การแก้กฎหมายหรือระเบียบทางการเกษตรที่ซับซ้อนยุ่งยากให้มีความคล่องตัวมากขึ้น การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำให้สิ้นซากเพื่อรักษาระบบนิเวศน์และลดผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมง ส่วนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรได้เตรียมนำกลับมาดำเนินการต่อ ไม่ว่าจะเป็นโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี/การส่งเสริมการแปรรูปข้าว เพื่อรองรับผลผลิตข้าวนาปีที่กำลังจะเก็บเกี่ยว ควบคู่ไปกับการบริหารจัดน้ำอย่างเป็นระบบและการแก้ปัญหาภัยพิบัติที่มีผลกระทบต่อภาคการเกษตร นอกจากนี้ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและเตรียมมาตรการลดค่าใช้จ่ายภาคการผลิตให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ข่าว : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ภาพ : กิตติคุณ ฤทธินิ่ม, สมชาติ รัตนมาลี